Aut @ Nepal

Written by Mr.Aut.

 มาแล้ว Trip ประจำเดือนธันวาคม รอบนี้เดินทางต่างประเทศอีกครั้ง ร่อนเร่-พเนจรเมืองที่ฝุ่นเยอะที่สุดในโลก
นมัสเต เนปาล 10 วัน (2-11 Dec 09) อ่านต่อ ..

 

วันแรก  ( 2 ธ.ค. 2552)
แผน เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ  ถึงสนามบินตรีภูวัน ประเทศเนปาล จากนั้นเดินทางสู่เมืองหลวงของเนปาล กาฐมาณฑุ
เมืองในหุบเขา ที่ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,200-1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก

 

เครื่องออกบ่ายก่า ๆ นัดเจอน้อง ๆ ตอนเที่ยง ๆ น้อง 3 คน มี 2 คนไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เจอครั้งแรกก้อที่สนามบินเลย
trip นี้ดูเราจะเป็นพี่ใหญ่สุดเลย เพราะทุกคนเรียก พี่อรรถหมดเลย เซ็ง1.

 

หลังจาก register ตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย แต่แปลกใจทำไมต้องมีเซ็นเอกสารของหายไม่รับผิดชอบ ก้อเซ็นต์ ๆ ไปงั้น
ปรากฏว่าพอถึงสนามบินเนปาล แม่เจ้า
!!! ของตูหาย มันเปิดกระเป๋าตูตอนไหนฟ่ะ แว่นตากันแดดสุดรัก กับ
ช๊อตโกแล๊กที่เอามาฝากเด็ก ๆ เพื่อขอถ่ายรูป หายไปเกือบครึ่ง ยังดี ยังเก็บไว้ให้ตูกินบ้าง เซ็ง2.

 

พอออกจากสนามบิน ต้องขึ้นรถ taxi เหมือนแมลงวันตอมขี้ มาจากไหนเยอะแยะเนี่ย เข้ามาแนะนำโน่นนี่ ฟังก้อไม่ค่อยจะเข้าใจ
จึงตัดสินใจไปกับ
taxi คันนึง เสี่ยงดวงเอาตายดาบหน้า รถ taxi คันก้อเล็ก ของเราก้อเยอะ เบียดกันเข้าไปน่ะ เฮ้อ !! เซ็ง3.

 

ถึงตัวเมืองทาเมลเย็น ๆ check-in โรงแรมอะไร จำไม่ได้ ราคาโอเค ห้องละ 7 เหรียญมีน้ำอุ่น ใกล้ตัวเมือง เดินไม่ไกล แต่ทำไม ..
ไฟดับทุก 1 ทุ่ม – 3 ทุ่ม ฟ่ะ สาดดดดดดดดดด .. มาเหนื่อย ๆ ขออาบน้ำก่อนได้ไหม ฝุ่นก้อเต็มตัวเลยเนี่ย
?? เซ็ง4.
ทำไรไม่ได้จึงต้องออกไปเดิน
Shopping ก่อน

 

ตะเวนเดินหาตั๋วเครื่องบินไปโพครา(55 เหรียญต่อเที่ยว) ติดต่อเรื่องเดินเขา (2300 รูปี) หาลูกหาบ (10 เหรียญต่อคนต่อวัน)
เสร็จเกือบ 3 ทุ่ม เดินหาไรกินกันต่อ อาหารที่นี่สุดยอดมาก มีแต่ผักกับไก่ เนยกับชีสเป็นส่วนผสม คลุกเค้ากับเครื่องเทศกลิ่นแรง ๆ
กลับเมืองไทยคราวนี้มีกลิ่นเครื่องเทศออกทางรูขุมขนแน่ ๆ เซ็ง5.

 

วันนี้ไม่มีรูปเลย ไม่ได้ชักกล้องออกมาเลย อารมณ์เสีย ..

 

 

วันที่สาม ( 4 ธ.ค. 2552 )
แหกขี้ตาตื่นแต่เช้า ออกเดินทางตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง นั่งแท็กซี่ไปนายาปุล (เสนอราคามา 2000 รูปี อย่าหวังจะได้แดกเงินตูเลย
ต่อรองไปที่ 12
00 รูปี) นั่งรถไปประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ถึงราว ๆ 8 โมงเช้า เจอกับลูกหาบที่เราติดต่อไว้แล้วเป็นครั้งแรกที่นี่
ชื่อจีต้ากับอีกคน .. จำไม่ได้อ่ะ .. จากนั้นเริ่มเดินตามเส้นทาง นายาปุล - บีเรทานติ - ทิกเก็ตตุงก้า - อุเรลิ ใช้เวลาเดิน 7 hrs
(จากทิกเก็ตตุงก้า ไปอุเรลิต้องเดินบันได
3,000 กว่าขั้น)

 พักที่ Pratab Guesthouse ( 60 รูปี/คน ) มีน้ำอุ่น จากหน้าต่างห้อง เห็นวิวของ Annapurna South

ได้เจอเพื่อนใหม่อีกคน เป็นคนไทยมาคนเดียว ชื่อพี่อู๊ด กับเพื่อนใหม่จากสิงคโปร์และมาเลเซียด้วย

อาหารมื้อเช้า มีแต่แบบนี้อ่ะ ไม่ค่อยอยู่ท้องเท่าไหร่ อาหารบนเส้นทางเดินเขาจะราคาแพงพอ ๆ  กัน แต่ราคาที่พักถูก

 

วันที่ห้า ( 6 ธ.ค. 2552 )
เดินขึ้นพูนฮิลล์แต่เช้ามืดมาก ตีห้า หนาวมากมาย อุณหภูมิติดลบดี ๆ เนี่ยเอง วันนี้อาการป่วยเริ่มออกมากขึ้น
ตั้งแต่เดินออกจากประตูโรงแรมแล้ว ปลายนิ้วสั่นระริก หายใจโรยริน อากาศเย็นเริ่มทำให้เจ็บคอ ปวดหัว
แน่ ๆ เลยอาการแบบนี้ ตูโดนเข้าแล้ว .. เซ็ง

ให้น้อง ๆ เดินขึ้นไปก่อนเพราะทุกคนอยากเห็นแสงแรกของวันใหม่ แต่กระผมคงเห็นจนชิน เลยเดินอย่างช้า ถึง ช้ามาก
เดินบันได 20 ขั้นพักไป 5 นาที เหนื่อยมากมาย ทรมาณสุด ๆ เป็นเมื่อก่อนคงวิ่งขึ้นอย่างสบาย สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงจิง ๆ 
เฮ้อ ... เหนื่อย ...

ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง น้อง ๆ ไปรอบน Poon hill เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ชั่วโมงแรก ดีน่ะ มีน้องนุ้ย เดินเป็นเพื่อน
เป็นลมไปจะได้มีคนแบกกลับ อายน้องมันไหมเนี่ย ... เซ็ง

พอถึงแล้ว กระผมนั่งจิบน้ำร้อนให้หายเจ็บคอสักพัก นั่งดู น้อง ๆ เดินถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน เหมือนคนแก่พาเด็ก ๆ มาวิ่งเล่นยังงัยไม่รู้ ..
ถ่ายรูปกันซักพัก ก้อเริ่มเดินลงเขา ที่นี้ดิ เจ็บเข่ามาก เพราะบันไดมันชันสุด ๆ กว่าจะถึง น้อง ๆ นั่งกินข้าวกันหมดแล้ว เฮ้อ ตู เซ็ง ..
นอนพักซักครู่แล้วต้องเดินทางต่อ วันนี้ต้องเดินอีก 7 hrs อยากนอนพักอีกคืนแต่คงทำไม่ได้ ไม่งั้นเที่ยวตัวเมืองไม่หมด
ทุกอย่างดูเร่งรีบมาก ๆ

 

{moscomment}


blog comments powered by Disqus

Crazypanda.net